การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สำคัญต่อทั้งสังคม และธุรกิจ การจัดการกับความท้าทายเหล่านี้จึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์การจัดการเชิงรุก
รายงานความเสี่ยงโลกประจำปีของเวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) ได้จัดอันดับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ ให้อยู่ในห้าอันดับแรกของความเสี่ยงระยะยาวที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่เสมอมา
ที่มา: WEF Global Risk Report 2025 [1]
ธุรกิจจำนวนมากตระหนักดีว่า การจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสามารถในการฟื้นตัวในการดำเนินงานและความอยู่รอดในระยะยาวในภูมิทัศน์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจาก ‘ผลการสำรวจซีอีโอทั่วโลกประจำปี ครั้งที่ 28: ปฏิรูปรูปแบบธุรกิจ เพื่อพิชิตโลกอนาคต’ ของ PwC เผยให้เห็นว่า 85% ของซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้เริ่มการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศแล้วในช่วงปีที่ผ่านมา ในบรรดาผู้นำเหล่านี้ 39% รายงานว่า มีรายได้เพิ่มขึ้น ในขณะที่ 34% เผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุน
ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นักลงทุนเริ่มตระหนักมากขึ้นถึงความจำเป็นในการระบุและจัดการกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของการจัดการความเสี่ยง ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในรายงาน ‘Nature at a Tipping Point’[2] ที่จัดทำร่วมกันระหว่าง PwC และ Asia Investor Group on Climate Change (AIGCC) โดยรายงานนี้เปิดเผยว่า จาก 20 ภาคส่วนที่ได้รับการวิเคราะห์ มี 9 ภาคส่วน ที่มีระดับการพึ่งพาธรรมชาติสูง ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มรวม (GVA: gross value added) ในเอเชียแปซิฟิกถึง 20% และที่น่าสังเกตคือ ใน 9 ภาคส่วนที่มีการพึ่งพาธรรมชาติมากที่สุดนี้ พบว่า ภาคเกษตรกรรม การก่อสร้าง อาหารและเครื่องดื่ม และยาสูบ มีสัดส่วนรวมกัน 72% ของ GVA ในกลุ่มนี้ (ดังแสดงในรูปที่ 1 และรูปที่ 2)
รูปที่ 1: มูลค่าเพิ่มรวม (GVA) ของเอเชียแปซิฟิกจากระดับการพึ่งพาธรรมชาติทางตรง
หมายเหตุ: ครอบคลุมประเทศและอาณาเขตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก: ออสเตรเลีย, สาธารณรัฐประชาชนจีน, เขตบริหารพิเศษฮ่องกง, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, นิวซีแลนด์, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, ไทย, ไต้หวัน, เวียดนาม
ที่มา: EXIOBASE, ENCORE database, PwC analysis
รูปที่ 2: สัดส่วนมูลค่าเพิ่มรวม (GVA) ของเอเชียแปซิฟิก และการพึ่งพาธรรมชาติทางตรง รายอุตสาหกรรม
หมายเหตุ: ครอบคลุมประเทศและอาณาเขตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก: ออสเตรเลีย, สาธารณรัฐประชาชนจีน, เขตบริหารพิเศษฮ่องกง, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, นิวซีแลนด์, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, ไทย, ไต้หวัน, เวียดนาม
ที่มา: EXIOBASE, ENCORE database, PwC analysis
การพึ่งพาธรรมชาติและบริการจากระบบนิเวศ บ่งชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะนำไปสู่ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเงิน หากความเสื่อมโทรมของธรรมชาติและผลกระทบต่อผู้มีบทบาททางเศรษฐกิจ ไม่ได้รับการบูรณาการอย่างเหมาะสมในการตัดสินใจด้านกลยุทธ์ การจัดการความเสี่ยง และการจัดสรรเงินทุน
ยิ่งไปกว่านั้น การวิเคราะห์ของ PwC ในรายงานฉบับเดียวกัน ระบุว่า บริษัทที่มีการพึ่งพาระบบนิเวศทางธรรมชาติอย่างมาก คิดเป็นสัดส่วนถึง 58% ของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การพึ่งพาธรรมชาติในลักษณะนี้ยังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในระดับประเทศอีกด้วย โดยในประเทศไทย มูลค่าตลาดรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีมูลค่ารวมกว่า 366 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในภาคส่วนที่มีการพึ่งพาธรรมชาติในระดับสูงถึงปานกลาง ซึ่งคิดเป็น 61% ของมูลค่าโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์[3]
ผู้เขียน:
Chayathorn Chanruangvanich
Partner, Sustainability Advisory Services, PwC Thailand
Perpetua George
Director, Asia Pacific Sustainability, Nature & Biodiversity, PwC Malaysia
Marketing and Communications
Bangkok, PwC Thailand
Tel: +66 (0) 2844 1000, Ext. 4713-15, 18, 22-24, 26, 28 and 29