ธุรกิจครอบครัวต้องรักษาสมดุลระหว่างเป้าหมายทางธุรกิจและเป้าหมายของครอบครัวเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับกิจการ รวมทั้งรักษาคุณค่าของครอบครัวให้คงอยู่จากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้น การปรับสมดุลที่ดีต้องอาศัยการส่งมอบการบริหารกิจการให้แก่ผู้นำรุ่นต่อไปอย่างราบรื่น ซึ่งการจะทำให้สำเร็จได้นั้น ทายาทธุรกิจครอบครัวต้องมีความเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้งและต้องมีความพร้อมในการแสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การมีทักษะและความสามารถที่จำเป็นต่อธุรกิจ จะช่วยให้ผู้นำรุ่นใหม่สามารถเติมเต็มช่องว่างที่ธุรกิจต้องการได้
ซึ่งในประเด็นนี้ ผู้บริหารเน็กซ์เจนรุ่นใหม่ระบุว่า ตนมีความเข้าใจธุรกิจครอบครัวของตนเป็นอย่างดีและรู้ด้วยว่า ตนมีความสามารถในการเข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจครอบครัวได้ ผลจากการสำรวจยังได้แสดงความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างลำดับความสำคัญทางธุรกิจและสิ่งที่ทายาทรุ่นใหม่คิดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจได้มากที่สุด ยกตัวอย่าง เช่น การมีกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เหมาะสมกับยุคดิจิทัล ถือเป็นสิ่งที่ธุรกิจครอบครัวต้องให้ความสำคัญ โดยผู้นำรุ่นใหม่ของไทยมองว่า การเปลี่ยนองค์กรไปสู่ดิจิทัล (Digital transformation) เป็นสิ่งที่ตนสามารถช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการของครอบครัวได้มากที่สุด
ขณะที่ผู้นำรุ่นใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมองว่า พนักงานที่มีความสามารถสูง (Talent) เป็นสิ่งที่ธุรกิจครอบครัวให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ และเชื่อว่า การดึงดูดพนักงานที่เก่งและมีความสามารถมากเหล่านี้ให้เข้ามาทำงานกับองค์กรได้จะช่วยให้ครอบครัวสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ
“การเปลี่ยนองค์กรไปสู่ดิจิทัลอาจจะเป็นเรื่องท้าทายสำหรับทุกคน แต่คนรุ่นเราก็เติบโตมากับสิ่งเหล่านี้ สำหรับผม ความท้าทายในฐานะผู้นำรุ่นใหม่ คือ การพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง การมองหาเทคโนโลยีใหม่ที่เหมาะสม การวางแผนธุรกิจให้ตรงกับเป้าหมายขององค์กร และสุดท้ายการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าและพนักงาน”
Sinsiri Thangsombat
Entrepreneurial and Private Business Leader, Assurance Partner, PwC Thailand
Tel: +66 (0) 2844 1000