เตรียมตัวอย่างไรเมื่อไทยกำลังจะใช้มาตรฐาน ESG สากลหนึ่งเดียว

เตรียมตัวอย่างไรเมื่อไทยกำลังจะใช้มาตรฐาน ESG สากลหนึ่งเดียว

PwC Thailand Spotlight podcast series

เมื่อประเด็นเรื่องความยั่งยืน กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อธุรกิจในประเทศไทย บริษัทต่าง ๆ ควรเตรียมพร้อมอย่างไรสำหรับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนใหม่ ๆ ติดตามผลกระทบของ IFRS S1 และ S2 ต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมเรียนรู้วิธีการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลเหล่านี้ เพื่อช่วยให้ผู้บริหารสามารถนำข้อมูลด้านความยั่งยืนมาช่วยในการตัดสินใจและเพิ่มมูลค่าในภูมิทัศน์ ESG ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ติดตามข้อมูลเหล่านี้ได้จากพอดคาสต์ของเรา
 

Playback of this video is not currently available

14:24

ติดตามพอดคาสต์

แขกรับเชิญ

คุณชยาธร ฉันท์เรืองวณิชย์

คุณชยาธร ฉันท์เรืองวณิชย์
หัวหน้าส่วนงานความยั่งยืนและ ESG
บริษัท PwC ประเทศไทย  
Email

ถอดเสียง

ปิยะณัฐ สวนอภัย
PwC Thailand Spotlight ทุกข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเทรนด์ในการดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศและทั่วโลก รับฟังได้จากที่นี่

สวัสดีค่ะ ดิฉัน ปิยะณัฐ สวนอภัย รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ

ในพอดคาสต์ตอนนี้ เราจะพาทุกท่านไปเจาะลึกมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน คือ มาตรฐาน IFRS S1 และ S2 ซึ่งอาจกลายเป็น ‘มาตรฐาน ESG สากลหนึ่งเดียว’ ในอนาคต เพราะปัจจุบันทั้งสองมาตรฐานนี้ได้ถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานภาคบังคับในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. มีแผนที่จะเริ่มบังคับใช้มาตรฐานทั้งสองฉบับนี้ในประเทศไทยเร็ว ๆ นี้ค่ะ

วันนี้ คุณชยาธร ฉันท์เรืองวณิชย์ หัวหน้าส่วนงานความยั่งยืนและ ESG บริษัท PwC ประเทศไทย จะมาอธิบายว่าทำไม IFRS S1 และ S2 ถึงมีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน และบริษัทต่าง ๆ ของไทยควรจะต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนที่ IFRS S1 และ S2 จะเริ่มบังคับใช้ในเร็ว ๆ นี้

สวัสดีค่ะ คุณชยาธร

ชยาธร ฉันท์เรืองวณิชย์
สวัสดีครับ

ปิยะณัฐ
มาตรฐาน IFRS S1 และ IFRS S2 เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับอะไรคะ และทั้งสองมาตรฐานนี้มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้างคะ

ชยาธร
สำหรับมาตรฐานการรายงานทางการเงิน IFRS S1 และ S2 เป็นมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่มุ่งเน้นไปที่เรื่องความยั่งยืนในมุมมองของนักลงทุน มาตรฐาน IFRS S1 จะกำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ส่วนมาตรฐาน IFRS S2 มุ่งเน้นที่การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยภาพรวมของ IFRS S1 จะครอบคลุมมุมมองด้านความยั่งยืนในวงกว้าง บริษัทต้องพิจารณาว่าอะไรเป็นประเด็นความเสี่ยงและโอกาสที่สำคัญในด้านของความยั่งยืน และนำส่วนที่สำคัญมาเปิดเผยในสี่มิติ ประกอบด้วย การกำกับดูแล กลยุทธ์ การจัดการความเสี่ยง และตัวชี้วัดและเป้าหมาย

ส่วนมาตรฐาน IFRS S2 จะลงลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับผลกระทบของบริษัทหรือองค์กรต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งบริษัทจะต้องพิจารณาความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่บริษัทจะต้องเผชิญ โดยพิจารณาความเสี่ยงหลักสองประการ คือ ความเสี่ยงทางกายภาพ (physical risks) และความเสี่ยงในการเปลี่ยนผ่าน (transition risks) ที่เราจะต้องพิจารณาโดยมองไปในอนาคตและปรับเปลี่ยนองค์กร เพื่อให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ความเสี่ยงทั้งสองประการนี้ที่ระบุไว้ใน IFRS S2 จะมีข้อกำหนดให้ทางบริษัทต้องพิจารณาในระดับที่ส่งผลกระทบต่อการเงิน ทั้งในด้านงบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสดของบริษัท ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวต่อไปครับ

ปิยะณัฐ
ความท้าทายและความซับซ้อนหลักในการจัดทำและเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐาน IFRS S1 และ S2 สำหรับบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย มีอะไรบ้างคะ

ชยาธร
ผมขอสรุปเป็นห้าประเด็นหลักนะครับ

ประเด็นแรก คือ เรื่องขอบเขต (boundary) ของการพิจารณาภายใต้ IFRS S1 และ S2 ของกลุ่มบริษัท ในอดีตอาจเน้นไปที่บริษัทแม่เป็นหลัก แต่ตอนนี้เมื่อมี IFRS S1 และ S2 จะต้องครอบคลุมบริษัทลูกทั้งหมดด้วย ได้แก่ บริษัทลูก บริษัทย่อย บริษัทกิจการร่วมค้า และบริษัทร่วม โดยมีขอบเขตการรายงานเช่นเดียวกับงบการเงิน ซึ่งถือเป็นความท้าทายในการเก็บข้อมูลจากบริษัทลูกด้วยเช่นกัน

สอง เรื่องการประเมินความเสี่ยงและความสำคัญ (materiality assessment) ขององค์กร โดยเรื่องของการประเมินความสำคัญต้องมองในภาพรวมของกลุ่มบริษัทด้วย และต้องพิจารณามุมมองสองด้าน คือ ทั้งในมุมของความยั่งยืน และการเงิน

สาม การเก็บข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะ Scope 3 ถือเป็นความท้าทายอย่างมากในการเก็บข้อมูล

สี่ การประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต้องทำการรันโมเดลหรือแบบจำลอง ยกตัวอย่างเช่น หากโรงงานของเราตั้งอยู่ริมชายฝั่ง จะเกิดอะไรขึ้นหากระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต และต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างโรงงานอย่างไร ซึ่งต้องประเมินผลกระทบที่มีต่องบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสดในอนาคตของบริษัท

สุดท้าย คือ การเก็บข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้อง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการตรวจสอบรายงานความยั่งยืนตาม IFRS S1 และ S2 ตามกฎเกณฑ์ของ ก.ล.ต. ที่กำหนดให้ผู้ตรวจสอบต้องแสดงความเห็น ซึ่งในปีแรก ๆ อาจอยู่ในระดับ limited assurance ดังนั้น บริษัทจึงต้องเตรียมความพร้อมในการตรวจสอบด้วยครับ

ปิยะณัฐ
ตามที่คุณชยาธรได้เล่าให้เราฟังก่อนหน้านี้ว่า ในมาตรฐาน IFRS S2 จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตาม Scope 1, Scope 2 และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Scope 3 ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย การเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้มีความท้าทายในการเก็บข้อมูลอย่างไร และมีวิธีการแก้ไขหรือรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างไรบ้างคะ

ชยาธร
ในส่วนของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้น แบ่งออกเป็นสาม Scope คือ Scope 1, Scope 2 และ Scope 3 โดย Scope 3 เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร หากเราพิจารณา Scope 1, 2 และ 3 รวมกันเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ Scope 3 อาจมีสัดส่วนการปล่อยสูงถึง 50 ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับบริษัทและอุตสาหกรรมนั้น ๆ ดังนั้น การเก็บข้อมูลของ Scope 3 จึงเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด เนื่องจากข้อมูลนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของบริษัท แต่ต้องเก็บรวบรวมจากซัพพลายเออร์ ผู้จัดจำหน่าย และลูกค้า โดยให้ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการผลิตไปจนถึงสิ้นสุดการใช้งานผลิตภัณฑ์ และต่อเนื่องไปจนถึงการทำลายหรือฝังกลบ เพื่อดูว่ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดเท่าไร

ดังนั้น ในการเก็บข้อมูลของ Scope 3 ถือว่าเป็นความท้าทายที่สุด

โดยประเด็นเกี่ยวกับการเก็บข้อมูล มีสามประเด็น คือ ประการแรก ความซับซ้อนและความหลากหลายของข้อมูล เนื่องจากมีแหล่งที่มาและซัพพลายเออร์จำนวนมากที่เก็บข้อมูลในรูปแบบที่แตกต่างกัน จึงทำให้ต้องมีการออกแบบกระบวนการเก็บข้อมูล

ประการที่สอง การขาดข้อมูลอาจเกิดขึ้น เนื่องจากบางครั้งซัพพลายเออร์หรือองค์กรอาจไม่สามารถให้ข้อมูลแก่เราได้ บริษัทอาจต้องพิจารณาการประมาณการหรือการใช้ตัวแทน (proxy) ในการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ ซึ่งส่วนนี้ยังคงเป็นความท้าทายในการประเมิน

สุดท้าย คือ การอัปเดตข้อมูล ในทุกปีจะต้องมีการคำนวณก๊าซเรือนกระจก โดยจำเป็นต้องพิจารณาว่าการคำนวณ การอัปเดตข้อมูล และการตรวจสอบข้อมูลนั้น ครบถ้วนและถูกต้องหรือไม่

จากสามประเด็นนี้ การแก้ไขปัญหาสามารถทำได้โดย ประการแรก ออกแบบกระบวนการเก็บข้อมูลที่มีการตรวจสอบและทดสอบ เพื่อให้มั่นใจว่าการใส่ข้อมูล การตรวจสอบข้อมูล และการคำนวณนั้น ได้รับการทดสอบอย่างเหมาะสมทั้งหมดแล้ว

ประการที่สอง บริษัทอาจจะพิจารณาใช้ระบบงานเข้ามาช่วย เพื่อลดข้อผิดพลาดของข้อมูล

สุดท้าย หากบริษัทมีความพร้อมในเรื่องข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สามารถให้มีการตรวจสอบและให้ความเชื่อมั่นในส่วนของข้อมูลนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชนต่อบริษัทในอนาคตครับ

ปิยะณัฐ
ปัจจุบัน ความคืบหน้าในการนำมาตรฐาน IFRS S1 และ S2 มาใช้ในประเทศไทย เป็นอย่างไรบ้าง และบริษัทจดทะเบียนควรเตรียมตัวอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับไทม์ไลน์ที่จะเกิดขึ้นคะ

ชยาธร
สำหรับการเตรียมความพร้อม เพื่อนำมาตรฐาน IFRS S1 และ S2 มาใช้ ต้องทำความเข้าใจว่า จากการรับฟังความคิดเห็นของสำนักงาน ก.ล.ต. ล่าสุด ประเทศไทยจะบังคับใช้มาตรฐานเหล่านี้ด้วยวิธีการแบบ phased-in approach คือแบ่งบริษัทออกเป็นกลุ่ม และบังคับใช้มาตรฐานในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งหมายความว่า แต่ละกลุ่มจะใช้มาตรฐานไม่พร้อมกัน โดยบริษัทที่ถูกจัดอยู่ใน SET50 จะเริ่มใช้ตามปีบัญชี 2569 หรือปีหน้า ในขณะที่บริษัทที่อยู่ใน SET100 จะเริ่มใช้ตามปีบัญชี 2570 และไล่ตามลำดับไปเรื่อย ๆ ดังนั้น บริษัทควรพิจารณาว่าตนเองอยู่ในกลุ่มไหน ระหว่าง SET50, SET100, SET หรือ MAI เพื่อทราบวันที่จะมีผลบังคับใช้สำหรับบริษัทของตน

สอง ต้องทราบความแตกต่างระหว่างแนวปฏิบัติปัจจุบันของบริษัท กับสิ่งที่ต้องทำในอนาคต โดยการทำ gap analysis (การวิเคราะห์ช่องว่าง) เพื่อให้บริษัทเห็นถึงความแตกต่างระหว่างกระบวนการที่ทำในปัจจุบัน กับสิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนตามมาตรฐาน IFRS S1 และ S2

สาม สร้างโรดแมป เมื่อทราบช่วงเวลาที่ต้องใช้มาตรฐาน และทราบช่องว่างระหว่างกระบวนการปัจจุบันกับสิ่งที่ต้องการแล้ว โดยโรดแมปนี้ จะช่วยให้สามารถเตรียมความพร้อมในแต่ละช่วงเวลาได้

สี่ ระบุผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะมาช่วยสนับสนุนการดำเนินการ เพื่อให้การนำ IFRS S1 และ S2 มาใช้เป็นไปได้ตามไทม์ไลน์ เช่น ฝ่ายความยั่งยืนดูแลเรื่องความยั่งยืน ฝ่ายความเสี่ยงเข้ามาช่วยดูแลเรื่องความเสี่ยง และฝ่ายการเงินดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

ทั้งหมดนี้ คือ สี่ขั้นตอนหลักในการเตรียมความพร้อม ที่ผมได้ลิสต์ออกมาครับ

ปิยะณัฐ
สุดท้ายแล้ว นอกจากการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามมาตรฐาน IFRS S1 และ S2 ซึ่งเป็นข้อกำหนดของ ก.ล.ต. แล้ว บริษัทจดทะเบียนจะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ต่อยอด หรือบูรณาการเข้ากับการตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างไร และสามารถนำไปใช้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรได้อย่างไรบ้างคะ

ชยาธร
เมื่อมองถึงการต่อยอดจาก IFRS S1 และ S2 ผมเห็นว่า แม้การทำรายงานเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนอาจจะไม่ได้รับความสนใจมากนักในอดีต แต่การจัดทำรายงานตามมาตรฐานเหล่านี้ จะช่วยให้บริษัทสามารถนำข้อมูลทางการเงินไปใช้ในการพิจารณาและวางแผน เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยงของบริษัทต่อได้

สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นใน IFRS S2 คือ การประเมินผลกระทบทางการเงินที่จะปรากฏในงบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด ในอนาคตของบริษัท ดังนั้น บริษัทจึงสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการวางแผนทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนได้

ในการประมาณการต่าง ๆ มีสองมุมมอง คือ มุมมองความเสี่ยง ที่บริษัทจะสามารถป้องกันตนเองได้อย่างไร และมุมมองโอกาส ที่ความยั่งยืนอาจเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทในอนาคต หากกระบวนการตรวจสอบผลกระทบทางการเงินถูกนำไปใช้ต่อยอดในการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ก็จะเป็นการต่อยอดจากสิ่งที่บริษัทกำลังทำอยู่ในปัจจุบันได้ครับ

ปิยะณัฐ
และนั่นก็เป็นรายละเอียดและประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับมาตรฐานการรายงานทางการเงิน IFRS S1 และ S2 ที่ธุรกิจควรทราบ รวมถึงความคืบหน้าจากสำนักงาน ก.ล.ต. ในการบังคับใช้สองมาตรฐานนี้ในประเทศไทย หวังว่าคุณผู้ฟังจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ทั้งสาระสำคัญของ IFRS S1 และ S2 ความท้าทาย และสิ่งที่บริษัทจดทะเบียนควรเตรียมพร้อม โดยเฉพาะการเตรียมข้อมูลเพื่อใช้เปิดเผยในรายงานตามมาตรฐานทั้งสองนี้ในอนาคตอันใกล้ค่ะ

วันนี้ต้องขอขอบคุณ คุณชยาธร มาก ๆ ค่ะ ขอบคุณค่ะ

ชยาธร
ขอบคุณครับ

ปิยะณัฐ
และสำหรับคุณผู้ฟังที่ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้ที่ www.pwc.com/th หรือติดตามข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดียของ PwC ประเทศไทย ได้ทาง LinkedIn, X และ Facebook ค่ะ

และที่สำคัญอย่าลืมกด Like และ Follow เพื่อไม่ให้พลาดพอดคาสต์ซีรีส์ของ PwC Thailand Spotlight ในตอนต่อไป

สำหรับวันนี้ เราสองคนต้องขอลาไปก่อน ขอบคุณและสวัสดีค่ะ

คลิกที่นี่เพื่ออ่านเวอร์ชันภาษาอังกฤษ

Contact us

Marketing and Communications

Bangkok, PwC Thailand

Tel: +66 (0) 2844 1000, Ext. 4713-15, 18, 22-24, 26, 28 and 29

Follow us