จับตา 7 เทรนด์เปลี่ยนโลกธุรกิจบริการทางการเงิน
โดย วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย
เป็นเวลาเกือบ 1 ปีแล้วที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงเกิดขึ้นทั่วโลกและไม่มีทีท่าว่า จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ซึ่งวิกฤตการแพร่ระบาดที่ยาวนานครั้งนี้ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะติดลบ 4.4% ขณะที่ล่าสุด องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD รายงานว่า จีดีพีไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในกลุ่มจี20 นั้น ติดลบ 6.9% ซึ่งเป็นการหดตัวที่มากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2552
เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน (Financial Services) ที่แม้ว่าจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้ผ่านมาตรการช่วยเหลือทางการเงินต่าง ๆ ในยามที่รายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจหดหาย แต่ภาพรวมของ อุตสาหกรรมเองก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะคุณภาพเครดิตของลูกค้าที่ลดลงพร้อม ๆ กับภาวะอัตราดอกเบี้ยขาลงย่อมส่งผลกระทบต่อยอดหนี้สงสัยจะสูญและเงินสำรองของธนาคาร ยิ่งไปกว่านั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยและพักชำระหนี้ เพื่อสอดรับกับนโยบายให้ความช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจของภาครัฐและธนาคารกลาง ก็อาจส่งผลต่อรายได้จากการดำเนินงานอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
แต่วิกฤตในครั้งนี้เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับอุตสาหกรรมบริการทางการเงินในระยะกลางถึงระยะยาวเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว อุตสาหกรรมยังต้องเผชิญกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น สถานการณ์ทางการเมือง การออกมาตรการและกฎหมายใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาพลิกโฉมสถาบันการเงิน และ การเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัล เป็นต้น สอดคล้องกับรายงาน Securing your tomorrow, today ของ PwC ที่ได้ชี้ให้เห็นถึง 7 แนวโน้มในเชิงมหภาค (Macro Trends) ที่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ดังนี้
- ภาวะอัตราดอกเบี้ยขาลงยังดำเนินต่อไป ผลพวงจากนโนบายและการแทรกแซงของภาครัฐและธนาคารกลางจะยังคงส่งผลต่อการสร้างรายได้ของกลุ่มธุรกิจบริการทางการเงิน ด้วยเหตุนี้ สถาบันการเงินจะต้องเพิ่มแนวทางการลงทุนเพื่อลดต้นทุน ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อรักษาขีดความสามารถในการทำกำไร เช่นเดียวกับธุรกิจประกันภัยที่จะต้องควบคุมต้นทุน และขยายบริการสู่ช่องทางดิจิทัลมากขึ้น แต่ในทางกลับกัน ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์และความมั่งคั่ง อาจได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เพราะนักลงทุนต้องการผู้ช่วยในการปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน
- ความสามารถในการรับความเสี่ยงลดลง มรสุมโควิด-19 และการด้อยค่าของสินทรัพย์ย่อมส่งผลให้ธุรกิจมีความเปราะบางและมีความสามารถในการรับความเสี่ยงลดลงตามไปด้วย เราเชื่อว่า ในระยะถัดไปจะเห็นผู้ให้บริการทางการเงินเสาะหาทางเลือกในการลงทุนที่ยิ่งมีความหลากหลายมากขึ้น รวมไปถึงการเพิ่มทุนในตลาดทุน หรืออาจจัดหาแหล่งเงินทุนทางเลือกผ่านตัวกลางในระบบการเงินอื่น ๆ เช่น ธนาคารเงา (Shadow banking)
- แหล่งเงินทุนทางเลือกจะมีความสำคัญมากขึ้น แม้ว่าธนาคารกลางจะได้ร่วมกับสถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินอื่น ๆ ในการออกมาตรการเยียวยาเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เพื่อลดผลกระทบโควิด-19 แต่เราคาดว่า ผู้ประกอบการธุรกิจจะต้องการแหล่งเงินทุนมากขึ้น เพราะ SMEs เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรง เพราะมีสายป่านสั้นกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ในขณะเดียวกัน SMEs ถือได้ว่า เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ก่อให้เกิดการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ เชื่อว่า แหล่งเงินทุนที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ นอนแบงก์ จะเพิ่มมากขึ้น
- การบังคับใช้กฎหมายและมาตรการทางการเงินสะดุดเพียงระยะสั้น แม้วิกฤตโควิด-19 อาจจะช่วยยืดระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการ หรือข้อบังคับบางอย่างเพื่อลดผลกระทบ แต่ก็แค่ระยะสั้น ๆ เท่านั้น ยกตัวอย่าง เช่น ในสหรัฐฯ เราจะเห็นว่า มีการเริ่มใช้ข้อบังคับหลายอย่างแล้วไม่ว่าจะเป็น การต่อต้านการฟอกเงินผ่านการรู้จักตัวตนของลูกค้า แนวปฏิบัติของมาตรฐานบัญชี IFRS 17 และ การยุติการใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง LIBOR เป็นต้น ดังนั้น ผู้ให้บริการทางการเงินต้องไม่ชะล่าใจ ในการเตรียมความพร้อมและศึกษามาตรการต่าง ๆ ที่กำลังจะออกมารวมถึงหาแนวทางในการรับมือ
- ผู้ให้บริการทางการเงินหันมาเน้นการทำธุรกิจภายในประเทศ-พื้นที่ใกล้เคียงมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาจากภายนอก เพื่อจำกัดความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ โดยไม่พึ่งพาประเทศใด ประเทศหนึ่งมากจนเกินไป เป็นการทวนกระแสโลกาภิวัฒน์ (Deglobalisation)
- แรงกดดันในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจและแรงงานไปสู่ดิจิทัลจะเพิ่มมากขึ้น การแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับองค์กร เราคาดว่า จะเห็นผู้ให้บริการทางการเงินเร่งยกระดับการใช้งานระบบเอไอ การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เทคโนโลยีคลาวด์ รวมไปถึงกระแสของการใช้คราวด์ซอร์สซิ่ง (Crowdsourcing) เพื่อหาวิธีการในการแก้ปัญหาต่าง ๆ จากกลุ่มคนอย่างสร้างสรรค์ นอกจากนี้ การยกระดับทักษะ (Upskilling) ของแรงงานให้รองรับการทำงานในภาวะความปกติใหม่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วย
- เกิดแพลตฟอร์มและระบบนิเวศทางการเงินใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า อุตสาหกรรมบริการทางการเงินจะอยู่ในแพลตฟอร์มที่เป็นดิจิทัลมากขึ้น และมีการใช้เงินทางกายภาพลดลง เช่น การใช้งานสกุลเงินดิจิทัลจะมากขึ้น ฉะนั้น ผู้ให้บริการทางการเงินจำเป็นที่จะต้องสร้างพันธมิตรกับฟินเทค (Fintech) และบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยี (Big Tech) อื่น ๆ มากขึ้นเพื่อต่อยอดขีดความสามารถทางธุรกิจของตัวเอง
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นเทรนด์ในภาพใหญ่ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ แต่ดิฉันเชื่อค่ะว่า ในทุก ๆ วิกฤตย่อมนำมาซึ่งโอกาส ซึ่งสำหรับอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน วิกฤตในครั้งนี้ให้โอกาสผู้ประกอบการและผู้บริหารในการคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อสรรหาทางออกและโอกาสในการลงทุนใหม่ ๆ ที่จะช่วยเหลือลูกค้าและพัฒนาธุรกิจของตัวเองในทางที่สร้างสรรค์และยั่งยืนมากขึ้น วิกฤตในครั้งนี้สอนให้เราเข้าใจที่จะกำหนดกลยุทธ์ในการจัดสรรเงินทุน เพิ่มความสามารถในการรับความเสี่ยงรองรับการให้เครดิตกับลูกค้า รวมถึงการหาพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อยกระดับเทคโนโลยีและพัฒนาทักษะแรงงาน อย่าลืมนะคะว่า ท้อได้ แต่อย่าถอยค่ะ
จบ
อ้างอิง:
- Unprecedented falls in GDP in most G20 economies in second quarter of 2020, OECD
- IMF envisions a sharp 4.4% drop in global growth for 2020, AP News
หมายเหตุ: บทความนี้ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 ทาง The Standard Wealth