Oil and Gas Blog

รู้ทันกลยุทธ์สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจน้ำมันและก๊าซ

31 สิงหาคม 2561

โดย กุลธิดา เด่นวิทยานันท์

เราต่างทราบกันดีว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ค่อนข้างผันผวนเวลานี้ เป็นผลมาจากเพดานการผลิตน้ำมันที่ถูกควบคุมโดยองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก  หรือ โอเปก (Organisation of the Petroleum Exporting Countries: OPEC) ซึ่งหากมองเผินๆ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของอำนาจการต่อรองในตลาดน้ำมันดิบโลก แต่อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ คือสถานการณ์ของปริมาณน้ำมันดิบในโลกที่ปรับตัวลดลงไปทุกที

รายงาน “Oil and Gas Trends 2018-2019” ของ PwC Strategy& ฉบับล่าสุด ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ถึงความท้าทายและกลยุทธ์ในการบริหารธุรกิจน้ำมันและก๊าซไว้อย่างน่าสนใจว่า ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา แนวโน้มปริมาณน้ำมันดิบในโลกน้อยกว่าความต้องการใช้น้ำมันมาโดยตลอด

ขณะที่ความท้าทายที่ธุรกิจน้ำมันและก๊าซทั่วโลกกำลังเผชิญคือ การค้นพบแหล่งน้ำมันดิบใหม่ก็ลดลงต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะแหล่งน้ำมันดิบขนาดใหญ่ ซึ่งในปี 2560 แหล่งน้ำมันที่พบมีปริมาณน้ำมันเพียง 3.5 พันล้านบาร์เรล ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้เพียง 10% ของความต้องการทั้งหมดเท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงการขาดแคลนแหล่งน้ำมันดิบใหม่ๆ ขณะเดียวกันที่แหล่งน้ำมันเดิมก็มีอัตราการผลิตลดลงอยู่ที่ประมาณปีละ 4%  นี่เท่ากับเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ปริมาณน้ำมันให้แย่ลงไปอีก

การเติบโตของอุปสงค์และอุปทานของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซในโลกระหว่างปี 2557 ถึง 2560

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองในกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นสมาชิกในกลุ่มโอเปกก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่เข้ามากระทบกำลังการผลิตน้ำมันของโลกอยู่เป็นระยะๆ แม้ว่าล่าสุดโอเปกจะได้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีกราว 1 ล้านบาร์เรลต่อวันตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นมา เพื่อบรรเทาปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นและปริมาณน้ำมันไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งภายหลังจากที่โอเปกมีมติดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบ ล่าสุดลดลงมาอยู่ที่ 74.13 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากระดับ 75.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อปลายเดือน มิ.ย. แต่ก็คาดการณ์กันว่า แนวทางนี้จะบรรเทาปัญหาได้ชั่วคราวเท่านั้น โดยรายงานของ IEA World Energy Outlook 2017 ระบุว่า ในแต่ละปี ทั่วโลกต้องผลิตน้ำมันเพิ่ม 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน จึงจะเพียงพอต่อความต้องการน้ำมันของโลก

ท่ามกลางความผันผวนของราคาและปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกเฉกเช่นปัจจุบัน  คำถามสำคัญคือ บริษัทในกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซควรจะวางกลยุทธ์อย่างไร เพื่อให้กิจการสามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งรายงานฉบับดังกล่าว ได้นำเสนอ 7 กลยุทธ์ที่จะช่วยชี้อนาคตที่สดใสให้กับผู้ประกอบการไว้ ดังนี้

  1. บริหารจัดการธุรกิจน้ำมันและก๊าซให้อยู่ในระดับที่มีกำไร ในอดีตธุรกิจน้ำมันและก๊าซหลายแห่งพุ่งเป้าไปที่การหาแหล่งใหม่ๆ มากจนเกินไป โดยไม่ได้สนใจเรื่องของความคุ้มค่าจากการลงทุน จนมาวันนี้บริษัทผู้ผลิตพลังงานทั่วโลกมีการปรับปรุงการบริหารกิจการของตนเพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนมากขึ้น โดยหลายรายตัดสินใจที่จะถอนการลงทุนในแหล่งน้ำมันดิบ หากศักยภาพของแหล่งนั้นไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เช่น บริษัท Shell ถอนการลงทุนในแหล่ง Athabasca oil sands หลังไม่ทำกำไร หรือ บริษัทอย่าง BP ที่ประกาศที่จะอนุมัติโครงการใหม่ที่สามารถทำกำไรได้ไม่ต่ำกว่า 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเท่านั้น เป็นต้น
  2. ยึดมั่นในการบริหารต้นทุน ผู้ประกอบการต้องมั่นใจได้ว่า ทุกการตัดสินใจในเรื่องการปฏิบัติการ ไม่ว่าจะเป็น การขยายตลาด การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การซื้อกิจการ แม้กระทั่งการถอนการลงทุน เป็นไปอย่างคุ้มค่า โดยต้องพิจารณาให้รอบครอบว่า ทุกการใช้จ่ายจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจให้กับกิจการ ทั้งนี้ การมีกระแสเงินสดอยู่ในระดับสูง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ
  3. ทบทวนจุดยืนด้านการลงทุนและการซ่อมบำรุง ในยุคที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการอาจมีความต้องการที่จะเพิ่มกำลังการผลิตตามไปด้วย โดยลืมที่จะคำนึงถึงสภาพการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิต หรือไม่ได้มีการทบทวนแผนงบประมาณการซ่อมบำรุงไว้ล่วงหน้า
  4. เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจเป็นแบบ “เจ้าของกิจการเพียงอย่างเดียว” แทนที่รูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เป็นทั้ง “เจ้าของกิจการและผู้ปฏิบัติการ” บริษัทผู้ผลิตและขุดเจาะน้ำมันหลายราย ควรต้องผันตัวเองจากการดำเนินธุรกิจในรูปแบบที่เป็นทั้งเจ้าของและผู้ปฏิบัติการ เพราะโมเดลดังกล่าว ทำให้เกิดต้นทุนมากกว่าที่จะสร้างมูลค่าทางธุรกิจในระยะยาว ซึ่งรูปแบบการดำเนินธุรกิจเป็นแบบเจ้าของกิจการเพียงอย่างเดียว จะช่วยเปลี่ยนต้นทุนคงที่ (Fixed costs) ให้เป็นต้นทุนผันแปร (Variable costs) หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ต้นทุนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสัดส่วนของระดับกิจกรรมการผลิต และยังช่วยให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์ที่สร้างความสมดุลให้เกิดระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนได้ดีกว่า
  5. เปลี่ยนองค์กรไปสู่ดิจิทัล เวลานี้องค์กรทั่วทุกกลุ่มอุตสาหกรรมต่างนำดิจิทัลมาใช้ขับเคลื่อนการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่นเดียวกับธุรกิจน้ำมันและก๊าซ ซึ่งผู้ประกอบการมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บสำเนาของทรัพย์สิน สิ่งของ หรือเครื่องจักรในรูปแบบดิจิทัล (Digital Twin) การใช้โดรนเพื่อตรวจสอบสถานะของเครื่องจักร การซ่อมบำรุง หรืองานที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง หรือแม้กระทั่ง การใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการเก็บรักษาข้อมูลที่สำคัญ ซึ่งบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมจะต้องรู้จักที่จะเลือกใช้นวัตกรรมเหล่านี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  6. พัฒนาทักษะแรงงานมากความสามารถในยุคของเทคโนโลยีหมุนเร็ว องค์กรต้องรู้จักที่จะบริหารจุดสมดุลของการมีพนักงานมากความสามารถที่ตรงกับยุคสมัยและความต้องการที่เปลี่ยนไป โดยในขณะที่จำนวนของพนักงานที่มีชุดทักษะความสามารถทางด้านเทคนิค (เช่น วิศวกร) ยังคงมีความสำคัญ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มจำนวนบุคลากรที่มีความสามารถทางด้านเทคโนโลยี (เช่น นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และ วิศวกรด้านซอฟต์แวร์) เพื่อให้สอดรับกับการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย
  7. ประเมินภาพรวมของธุรกิจในอนาคต องค์กรจำเป็นที่จะต้องไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ โดยต้องมองหาแนวทางการดำเนินธุรกิจ หรือประยุกต์ใช้กลยุทธ์ใหม่ๆ ในการขยายตลาด และกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้ธุรกิจของตนเติบโตได้อย่างยั่งยืน ท่ามกลางกระแสของเมกะเทรนด์ที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน ยกตัวอย่าง เช่น บริษัทสัญชาติเดนิช อย่าง Dong Energy ที่ผันตัวเองออกจากการทำธุรกิจต้นน้ำอย่างน้ำมันและก๊าซ มาเป็นผู้ผลิตพลังงานที่ใช้คาร์บอนต่ำและทำการรีแบรนด์ตัวเองใหม่ ภายใต้ชื่อ Orsted เช่นเดียวกันกับบริษัทสัญชาติฝรั่งเศส Engie ที่หันมาจับธุรกิจด้านพลังงานทดแทน นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า บริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นๆ ในยุโรป ก็หันมาลงทุนในธุรกิจพลังงานคาร์บอนต่ำกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น พลังงานลม ก๊าซธรรมชาติ และ โซลาร์ เป็นต้น

 

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Oil and Gas Trends 2017-2018: https://www.strategyand.pwc.com/media/file/2018-Oil-Gas-Industry-Trends.pdf
  2. “โอเปก” เห็นพ้องผลิตน้ำมันเพิ่มบรรเทาปัญหาราคาแพง: https://www.posttoday.com/world/555492
  3. วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บมจ. ไทยออยล์ ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2561: https://www.thaioilgroup.com/upload/media_file/20180830090243_Daily_Oil_TH_2018.08.30.pdf
  4. วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บมจ. ไทยออยล์ ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2561: https://www.thaioilgroup.com/upload/media_file/20180702085825_Daily_Oil_TH_2018.07.02.pdf

 

Contact us

Marketing and Communications

Bangkok, PwC Thailand

Tel: +66 (0) 2844 1000, Ext. 4713-15, 18, 22-24, 26, 28 and 29

We unite expertise and tech so you can outthink, outpace and outperform
See how
Follow us