“หุ่นยนต์ที่ปรึกษา” ตัวช่วยบริหารเงินลงทุน

31 มกราคม 2560

โดย กุลธิดา เด่นวิทยานันท์

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) กำลังเข้ามามีอิทธิพลต่อการดำเนินธุรกิจในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมผู้ให้บริการทางการเงิน ดังนั้น การจะมีหุ่นยนต์เข้ามาช่วยบริหารเงินลงทุนจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป

หุ่นยนต์ที่ปรึกษา หรือ Robo-Advisor ถือเป็นหนึ่งในฟินเทคที่กำลังมาแรงในเวลานี้ เพราะเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาจาก AI โดยหุ่นยนต์ที่ปรึกษาจะช่วยให้คำปรึกษาด้านการลงทุนผ่านซอฟแวร์การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ซึ่งระบบจะรวบรวมข้อมูลด้านการเงินของนักลงทุนจากการตอบแบบสอบถามออนไลน์ และทำการประมวลผล หลังจากนั้น จะออกแบบการลงทุนโดยจัดสรรเงินลงทุน (Asset allocation) ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และผลตอบแทนที่นักลงทุนแต่ละคนคาดหวัง

นอกจากนี้ ระบบยังสามารถปรับพอร์ตการลงทุน (Rebalancing portfolio) แบบอัตโนมัติเพื่อคงสัดส่วนการลงทุนให้เป็นไปตามที่จัดไว้ แถมยังปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการลงทุนตามความเหมาะสมได้ตลอดเวลาอีกด้วย โดยนักลงทุนสามารถใช้งานหุ่นยนต์ที่ปรึกษาผ่านโปรแกรมหรือแอพพลิเคชันของ Robo-Advisor

จุดเด่นอีกข้อที่ทำให้หุ่นยนต์ที่ปรึกษาทางการเงินเป็นที่นิยม นั่นคือ ค่าธรรมเนียมและเงินลงทุนขั้นต่ำ โดยการลงทุนผ่านหุ่นยนต์ที่ปรึกษานั้น ไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน ขณะที่การลงทุนผ่านที่ปรึกษาทางการเงินโดยทั่วไปจะกำหนดอัตราเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ประมาณ 250,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ส่วนค่าธรรมเนียมในการใช้หุ่นยนต์ที่ปรึกษานั้นถูกมากแค่ 0.15%-0.75%  ต่อปีเท่านั้น ต่างจากค่าธรรมเนียมของที่ปรึกษาทางการเงินทั่วไปที่คิดประมาณ 1%-2% ต่อปี

ด้วยความที่ต้นทุนในการใช้หุ่นยนต์ที่ปรึกษาทางการเงินนั้นถูกและง่ายกว่าที่ปรึกษาแบบดั้งเดิมนี่เอง ทำให้โอกาสที่คนทุกรุ่น ทุกวัยจะเข้าถึงการลงทุนกลายเป็น ‘เรื่องใกล้ตัว’ ขึ้นมาทันที โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่วัย มิลเลนเนียล หรือ เจนวาย (ผู้ที่เกิดระหว่างปีพ.ศ. 2523-2538) ที่ชื่นชอบในการทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ และมีไลฟ์สไตล์ในการดำเนินชีวิตแบบออน เดอะ โก (On the go) แต่อาจยังมีเงินเริ่มต้นลงทุนไม่สูงมาก เพราะอาจเพิ่งเริ่มทำงาน ดังนั้น หุ่นยนต์ที่ปรึกษาจึงตอบโจทย์การบริหารเงินออมผ่านการลงทุนของคนกลุ่มนี้ได้ดีที่สุด

ยกตัวอย่าง ในประเทศญี่ปุ่นที่ประสบปัญหาคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยลงทุนหรือเก็บออมเพื่ออนาคต ท่ามกลางภาวะเงินฝืดของประเทศ โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ประชากรเจนวายที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีมากกว่า  50% ที่อาศัยอยู่คนเดียวไม่มีแผนลงทุนหรือเก็บออมในระยะยาวแต่อย่างใด ซึ่งนี่จะยิ่งกลายเป็นปัญหาของประเทศในอนาคต เพราะภาระอาจตกไปยังภาครัฐ เพราะเมื่อเด็กกลุ่มนี้แก่ตัวขึ้นและไม่มีเงินออมเอาไว้ใช้เลย ดังนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นจึงพยายามส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่หันมาใช้หุ่นยนต์ที่ปรึกษาเพื่อช่วยบริหารเงินออมและกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนมากขึ้น 

ด้วยความที่บริการหุ่นยนต์ที่ปรึกษาตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเจนวายนี่เอง ล่าสุดผู้ให้บริการสังคมออนไลน์อย่าง Snapchat  มีแผนที่จะพัฒนาหุ่นยนต์ที่ปรึกษาเพื่อนำมาต่อยอดบริการผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อให้คนกลุ่มนี้รู้จักออมเงินเพื่อการเกษียณอายุและบริหารเงินเป็นมากขึ้น

นอกจากนี้ เทรนด์ของการใช้หุ่นยนต์ที่ปรึกษาทั่วโลกยังขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สอดคล้องกับผลสำรวจ Robo Advisory moves forward in Italy ของ PwC ที่ระบุว่า 60% ของประชากรชาวอิตาเลียนที่มีอายุระหว่าง 18-35 ปีต้องการใช้หุ่นยนต์ที่ปรึกษาในการบริหารสินทรัพย์ เปรียบเทียบกับคนอายุ 36 ปีขึ้นไปที่ 52% ขณะที่นักลงทุนทั่วไปกว่า 40% ก็มีแนวโน้มที่จะใช้หุ่นยนต์ที่ปรึกษาเช่นกัน

เมื่อหันกลับมามองภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ฮ่องกง และ สิงคโปร์จะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดหุ่นยนต์ที่ปรึกษาทางการเงิน โดยมากกว่า 1ใน 3ของกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งในภูมิภาคนี้ ต้องการใช้งานหุ่นยนต์ที่ปรึกษาในอนาคต เพราะมีอัตราการเกิดของกลุ่ม มิลเลนเนียล สูงที่สุด ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า คนกลุ่มนี้ต้องการการลงทุนรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี และอนาคตจะกลายเป็นผู้นำเทรนด์เทคโนโลยีด้านการเงินไปโดยปริยาย

ล่าสุด มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสินทรัพย์ (AUM) ของหุ่นยนต์ที่ปรึกษาทั่วโลกนั้นยังไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ จาก 1 แสนล้านล้านดอลล่าร์ ในปี 2558 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 8 ล้านล้านดอลล่าร์ ในปี 2563 โดยปัจจุบัน ผู้ให้บริการหุ่นยนต์ที่ปรึกษาทางการเงินรายใหญ่ของโลก คือ Betterment LLC และ Wealthfront Inc. ของสหรัฐอเมริกา

สำหรับประเทศในแถบเอเชียที่เริ่มทยอยให้บริการหุ่นยนต์ที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว เช่น Chole  แอพพลิเคชันสัญชาติฮ่องกง เพียงมีเงินแค่ 1,000 ฮ่องกงดอลลาร์ หรือราว 4,500 บาท ก็สามารถลงทุนผ่านที่ปรึกษาหุ่นยนต์นี้ได้อย่างง่ายดาย โดย ไม่ต้องเห็นหน้าที่ปรึกษาทางการเงิน ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ ก็ไม่น้อยหน้า ออกแอพพลิเคชันหุ่นยนต์ที่ปรึกษาภายใต้ชื่อว่า Bambu เพื่อเป็นตัวช่วยในการบริหารเงินให้งอกเงยเช่นกัน

ฟากบริการหุ่นยนต์ที่ปรึกษาทางการเงินในประเทศไทย แม้เวลานี้ยังไม่มีบริการออกมาอย่างเต็มรูปแบบเหมือนประเทศอื่น แต่เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวก เพราะล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับ ชมรมฟินเทคแห่งประเทศไทย มีการประชุมหารือกันเพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ที่ปรึกษา เพื่อส่งเสริมให้คนไทยรักการออมและเข้าใจการลงทุนมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่า เมื่อหุ่นยนต์ที่ปรึกษาเริ่มให้บริการในเมืองไทยเมื่อไหร่ คนเจนวายน่าจะหันมาใช้บริการกันอย่างแพร่หลาย เพราะคนรุ่นใหม่ไทยเองก็ติดอันดับประเทศที่ชื่นชอบโซเชียลเน็ตเวิร์กและการเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ไม่ต่างจากชาติอื่นอยู่แล้ว

โจทย์ต่อไปของเทคโนโลยีนี้ คงตกอยู่ที่บรรดาธุรกิจบริหารจัดการลงทุนว่า จะแก้เกมหุ่นยนต์ที่ปรึกษาที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างไร  แม้เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาจะสามารถให้คำแนะนำในเชิงลึกได้ดีกว่า และใช้ Emotional support เป็นจุดแข็งในการช่วยนักลงทุนตัดสินใจ แต่นี่อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการแข่งขันในยุคดิจิทัลอีกต่อไป เพราะอะไรๆ ก็ดูเหมือนจะเดินไปสู่เส้นทางสายนวัตกรรมแทบทั้งสิ้น

 

Contact us

Marketing and Communications

Bangkok, PwC Thailand

Tel: +66 (0) 2844 1000, Ext. 4713-15, 18, 22-24, 26, 28 and 29

We unite expertise and tech so you can outthink, outpace and outperform
See how
Follow us