หากใครเคยชมภาพยนตร์เรื่อง Robot and Frank ที่ออกฉายเป็นครั้งแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว คงทึ่งกับความสามารถของ
เจ้าหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุรุ่น VGC-60L ที่มีต้นแบบมาจากหุ่นยนต์ตัวแรกของโลกที่ชื่อ ‘อาซิโม’ ของฮอนด้า เพราะเจ้า
หุ่นยนต์ตัวนี้มีความสามารถพิเศษในการดูแลคุณปู่แฟรงก์ที่มีอาการป่วยจากโรคอัลไซเมอร์ แถมมีโปรแกรมการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองถึงขนาดถูกคุณปู่สอนให้เป็นนักย่องเบาอีกด้วย ในเวลานั้นจะมีใครสักกี่คนที่คิดว่า การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีหุ่นยนต์เพื่อดูแลชีวิตของผู้สูงอายุจะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้จริง และไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Ageing society) โดยข้อมูลของ องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ระบุว่า ในช่วงระหว่างปี 2558-2573 ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปทั่วโลกจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 56% หรือคิดเป็น 1,400 ล้านคนจากเดิม 901 ล้านคน ขณะที่ธนาคารโลกยังคาดการณ์ว่า ในอีก 24 ปีข้างหน้า ประชากรไทยมากกว่า 1 ใน 4 หรือ ราว 17 ล้านคนจะมีอายุ 65 ปี หรือมากกว่า โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มีประชากรผู้สูงอายุเพียง 7.5 ล้านคน หรือประมาณ 11% ของประชากรทั้งหมด
เมื่อสังคมผู้สูงอายุกำลังจะครองโลก แน่นอนว่า กระแสของการดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่คนทุกเพศทุกวัยหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนชนชั้นกลางที่พร้อมจะจ่ายเพื่อดูแลสุขภาพของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ บรรดาธุรกิจบริการด้านสุขภาพจึงเร่งพัฒนาบริการทางการแพทย์ ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในบริการด้านสุขภาพ (Digital Health) เพื่ออำนวยความสะดวก และช่วยให้ผู้ป่วยรวมถึงประชากรผู้สูงอายุเหล่านี้ สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น
หุ่นยนต์ VGC-60L หลบไป Robot รุ่นใหม่เจ๋งกว่า
“หุ่นยนต์” ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่ถูกจับตามองว่า สามารถช่วยดูแลผู้สูงอายุได้อย่างดีเยี่ยม ยกตัวอย่าง เช่น เจ้าหุ่นยนต์ Giraff ของสวีเดน ที่ทำหน้าที่เป็นหุ่นยนต์พยาบาล (Robotic Nurses) ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างคนไข้ผู้สูงอายุ กับแพทย์หรือพยาบาลแบบเรียลไทม์ โดยผู้สูงอายุสามารถพูดคุยกับแพทย์หรือพยาบาลได้จริงผ่านทางจอภาพบนตัวหุ่นยนต์ ซึ่งช่วยลดเวลา และทำให้ผู้สูงอายุไม่ต้องลำบากในการเดินทางไปโรงพยาบาล หรือ หุ่นยนต์พยาบาล Cody ในสหรัฐอเมริกา ที่คอยดูแลทำความสะอาดร่างกายให้กับผู้สูงอายุ และเจ้า Bestic หุ่นยนต์จากสวีเดน ที่ช่วยคนไข้ที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้
นอกจากนี้ เมืองไทยเราก็ไม่น้อยหน้า สามารถผลิตหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุสายพันธุ์ไทยอย่างเจ้า ดินสอมินิ หุ่นยนต์เด็กผู้ชายที่ใช้ในการดุแลผู้ป่วยเรื้อรังที่เคลื่อนไหวไม่สะดวกและต้องนอนรักษาอยู่บนเตียง โดยมีจอรับภาพไว้สำหรับเฝ้าดูผู้ป่วยตลอดเวลา เมื่อมีเหตุฉุกเฉิน จะส่งสัญญาณเตือนไปยังแอพพลิเคชันในสมาร์ทโฟนของบุตรหลาน หรือบุคลากรทางการแพทย์
หุ่นยนต์ดินสอมินิ ยังสามารถเตือนการทานยาของคนไข้ หรือเชื่อมต่อกับเครื่องวัดความดันโลหิตไร้สายได้ ซึ่งดินสอมินิยังถูกนำไปทดสอบใช้งานจริงกับโรงพยาบาลของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นประเทศหนึ่งในโลกที่ขึ้นชื่อว่า มีการเข้าสังคมผู้สูงอายุแบบตัวเต็มโดยญี่ปุ่นยังมีแผนที่จะนำเทคโนโลยีการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุมาใช้เพิ่มขึ้นในปี 2568 เช่น การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) โดยการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ผ่านแทบเล็ตหรือสมาร์ทโฟน และ การสั่งยาออนไลน์ เป็นต้น
‘เดอะ อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์’ ช่วยตามติดสุขภาพผู้สูงวัย
นอกจากนี้ เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่ออุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ หรือ The Internet of Things (IoT) ยังเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ซึ่งผลสำรวจเมื่อเร็วๆนี้ระบุว่า ผู้ให้บริการธุรกิจด้านสุขภาพเกือบ 60% ที่ทำการสำรวจมีแผนที่จะนำโซลูชันจากมาประยุกต์ใช้ในอีก 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ อุปกรณ์สวมใส่อิเล็กทรอนิกส์ (Wearable devices) ที่กำลังเป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้รักษาสุขภาพในฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกา และยังถูกดัดแปลงมาใช้เป็นนาฬิกาข้อมือเพื่อผู้สูงอายุ (Smart watch) ซึ่งออกแบบให้สามารถใส่กล่องยาได้ถึง 4 กล่อง และส่งสัญญาณแจ้งเตือนปริมาณและเวลาของการใช้ยา นอกจากนี้ ผู้สวมใส่ยังสามารถส่งสัญญาณเพื่อขอความช่วยเหลือในยามฉุกเฉินได้อีกด้วย
ส่วนในไทยได้มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น นำระบบเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวมาใช้เพื่อควบคุมอุณหภูมิห้องนอนของผู้ป่วย เป็นต้น สอดคล้องกับรายงานของ Tractica ที่ระบุว่า ในปี 2563 จะมีประชากรทั่วโลกถึง 78.5 ล้านคนมีแผนจะนำเทคโนโลยีด้านสุขภาพมาใช้ภายในบ้านเรือนของตน เพิ่มขึ้นจาก 14.3 ล้านคนเมื่อปี 2557
‘ดิจิทัลเฮลธ์’ โจทย์ที่ท้าทายของไทย
รัฐบาลไทยกำลังเผชิญกับปัญหาในการดูแลสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่กำลังเริ่มนับถอยหลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยเมื่อปี 2557 รัฐบาลมีการใช้จ่ายด้านบำนาญผู้สูงอายุสูงถึงราว 300 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 800 ล้านล้านบาทในอีก 10 ปีข้างหน้า ขณะที่จำนวนแพทย์ของไทยในระบบยังคงมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยปัจจุบันสัดส่วนของแพทย์ไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1 คน ต่อประชากร 2,000 คน เปรียบเทียบกับสิงคโปร์ที่มีแพทย์ 1 คน ต่อประชากร 526 คน สหรัฐอเมริกามีแพทย์ 1 คน ต่อประชากร 410 คนและ แพทย์ 1 คน ต่อประชากร 256 คนในออสเตรเลีย
นี่จึงสะท้อนให้เห็นความท้าทายของไทย ที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันในการแสวงหาแนวทางการแก้ปัญหา รวมถึงบริการที่ตอบโจทย์จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของประเทศในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น การรับมือกับจำนวนวัยทำงานที่ลดลง สวัสดิการสังคมในการดูแลผู้สูงอายุ และ การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ การสนับสนุนให้มีการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีด้านสุขภาพ น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและทำให้เราสามารถดูแลผู้สูงอายุได้อย่างทั่วถึงในอนาคต ยิ่งสังคมไทยมีแนวโน้มที่จะกลายเป็น ‘ครอบครัวเดี่ยว’ มากขึ้น ยิ่งทำให้กระแสของดิจิทัลเฮลธ์ มีบทบาทและความสำคัญมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะนอกจากจะตอบโจทย์ผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพาตัวเองเป็นหลักแล้ว คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ‘ความไม่มีโรค เป็น ลาภอันประเสริฐ’
Marketing and Communications
Bangkok, PwC Thailand
Tel: +66 (0) 2844 1000, Ext. 4713-15, 18, 22-24, 26, 28 and 29