Press Release

PwC ประเทศไทย ชี้ธุรกิจต้องสร้างสรรค์และติดตามมาตรฐานใหม่ รับมือเมกะเทรนด์ และประเมินผลกระทบทางการเงิน

  • Press Release
  • 8 minute read
  • 20 Oct 2025

กรุงเทพฯ, 20 ตุลาคม 2568 – PwC ประเทศไทย เผยธุรกิจไทยเผชิญแรงกดดันจากเมกะเทรนด์ครั้งใหญ่ ทั้ง AI การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมาตรฐานบัญชีใหม่ ซึ่งเชื่อมโยงและส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการและการรายงานทางการเงิน พร้อมแนะองค์กรเร่งติดตามการปรับปรุงมาตรฐานบัญชีและความยั่งยืน และเปลี่ยนบทบาทฝ่ายการเงินเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและผลตอบแทนการลงทุน ดันองค์กรเติบโตท่ามกลางความท้าทาย

นางสาว สินสิริ ทังสมบัติ หัวหน้าสายงานตรวจสอบบัญชีและหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าว ณ งานสัมมนา ‘Corporate Reporting Forum’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนาประจำปี PwC Thailand’s Symposium 2025: From insight to action: Staying ahead of change ว่า จากการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งทางการค้า และปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการปฏิบัติงานและรายงานทางการเงิน ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับการติดตามสถานการณ์ หามาตรการรับมือ และสื่อสารข้อมูลที่โปร่งใสแก่ผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อแสดงแนวทางการบริหารความเสี่ยงและโอกาสที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

“เมกะเทรนด์ทั้งเทคโนโลยี AI การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ กำลังส่งผลกระทบต่อทุกมิติของธุรกิจ ผู้นำองค์กรต้องปรับตัวอย่างสร้างสรรค์ มองหาโอกาสใหม่ ๆ ทั้งการร่วมมือข้ามอุตสาหกรรม การวางแผนทางการเงินและรายงานความยั่งยืน รวมถึงกลยุทธ์และภาษี เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและสร้างการเติบโตในโลกที่ซับซ้อนขึ้น” นางสาว สินสิริ กล่าว

ติดตามการปรับปรุงมาตรฐานการเงิน และรายงานความยั่งยืน

นางสาว สินสิริ กล่าวว่า ในปี 2568 มีการปรับปรุงมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดประเภทหนี้สิน การเปิดเผยข้อมูลสินทรัพย์ทางการเงิน และการบัญชีตราสารหนี้รูปแบบใหม่ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในอนาคต เช่น ESG-linked bond

แนวทางใหม่ในการจัดประเภทหนี้สิน (TAS 1) มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 1 ที่ปรับปรุงใหม่ได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดประเภทหนี้สิน โดยเฉพาะกรณีที่กิจการผิดเงื่อนไขของข้อตกลง (Debt covenants) และธนาคารมีสิทธิเรียกชำระหนี้ได้ทันที การพิจารณาว่าหนี้สินเป็นหมุนเวียนหรือไม่หมุนเวียน ต้องอ้างอิงกับผลการปฏิบัติตามเงื่อนไข ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน ว่ากิจการสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้หรือไม่ แม้ว่าการประเมินจะเกิดขึ้นหลังวันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน หากกิจการเคยตีความมาตรฐานแตกต่างจากที่ปรับปรุงใหม่ อาจต้องเปลี่ยนแปลงการจัดประเภทหนี้สินจากไม่หมุนเวียนเป็นหมุนเวียน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ปรับปรุง

การเปิดเผยข้อมูลสินทรัพย์ทางการเงินที่เข้มข้นขึ้น (TFRS 7) มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 7 ได้ปรับปรุงให้กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลสำหรับสินทรัพย์ทางการเงินประเภทตราสารทุนที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ (FVOCI) มากขึ้น กิจการที่เลือกวัดมูลค่าด้วยวิธีนี้กำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงจากการขายจะไม่โอนจากกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จไปที่กำไรขาดทุน ทำให้ผู้ใช้งบการเงินไม่เห็นกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น มาตรฐานที่ปรับปรุงใหม่กำหนดให้กิจการต้องเปิดเผยกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงระหว่างงวด ทั้งสำหรับสินทรัพย์ที่ยังถืออยู่และที่ขายไปแล้ว รวมถึงยอดสะสมของกำไรขาดทุนที่เคยรับรู้ผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่ถูกจัดประเภทใหม่เป็นกำไรสะสม จุดประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถทราบถึงกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงและที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง แม้ว่ารายการเหล่านั้นจะไม่เคยรับรู้ผ่านกำไรขาดทุนก็ตาม

การบัญชีตราสารหนี้ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในอนาคต แนวโน้มสำคัญคือการออกตราสารหนี้ที่มีการผูกการจ่ายดอกเบี้ยกับเหตุการณ์ในอนาคต เช่น ESG linked bond ที่อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของกิจการผู้ออกตราสาร ในการจัดประเภททางบัญชี ผู้ถือตราสารต้องพิจารณาว่าผ่านเงื่อนไขการจ่ายเพียงเงินต้นและดอกเบี้ย (SPPI) หรือไม่ หากผ่านเงื่อนไขนี้ ต้องพิจารณาโมเดลธุรกิจของผู้ถือตราสารว่าเป็นการถือเพื่อรับกระแสเงินสดตามสัญญา เพื่อขาย หรือทั้งสองอย่าง การจัดประเภทจะส่งผลต่อวิธีการวัดมูลค่าของเงินลงทุนในตราสารหนี้ดังกล่าว ในมาตรฐานฉบับที่ 9 จะเพิ่มเติมหลักการในการพิจารณาว่าตราสารที่มีการผูกการจ่ายดอกเบี้ยกับเหตุการณ์ในอนาคตผ่านเงื่อนไข SPPI หรือไม่ เพื่อให้กิจการต่าง ๆ มีหลักเกณฑ์เดียวกันในการพิจารณา ซึ่งก่อนหน้านี้แต่ละกิจการอาจใช้หลักเกณฑ์ที่แตกต่างกัน ทำให้วิธีการวัดมูลค่ามีความแตกต่างกัน

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการวางแผนทางการเงินและการจัดการความเสี่ยง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริหาร โครงสร้างทางการเงิน และกลยุทธ์ขององค์กร ซึ่งความเสี่ยงทางการเงินที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องถูกรวมเข้าไปแสดงในรายงานทางการเงินตามหลักเกณฑ์ของ GAAP และ IFRS อย่างครบถ้วน ดังนั้น องค์กรจึงควรประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างรอบคอบ และเชื่อมโยงผลกระทบกับการเงินและการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กรเพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการดำเนินงานและผลประกอบการทางการเงิน

ยุคที่ขับเคลื่อนการเติบโตด้วย AI และกลยุทธ์การควบรวมกิจการ

นางสาว สินสิริ กล่าวว่า ปัจจุบัน AI ได้กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญขององค์กรในการลดต้นทุนการดำเนินงานและสนับสนุนการตัดสินใจในสภาพแวดล้อมธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง อย่างไรก็ดี เพื่อให้องค์กรสามารถใช้ศักยภาพของ AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการวางกรอบการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ ควบคู่กับการสร้างสมดุลระหว่างความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจกับมาตรการควบคุมที่เหมาะสม อันจะนำไปสู่ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่าและยั่งยืน

ยิ่งไปกว่านั้น อีกแนวโน้มสำคัญที่ผู้นำองค์กรในปัจจุบันให้ความสนใจมากขึ้น คือ กลยุทธ์การควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (mergers & acquisitions: M&A) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเร่งการเติบโตขององค์กร การเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI ทรัพย์สินทางปัญญา องค์ความรู้ ทักษะเฉพาะ หรือการขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ในบางกรณี องค์กรอาจพิจารณาการร่วมมือหรือการเป็นพันธมิตรข้ามอุตสาหกรรม เพื่อขยายขอบเขตธุรกิจจากอุตสาหกรรมเดิมไปสู่โดเมนใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ

นางสาว สินสิริ กล่าวว่า ในยุคที่โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและซับซ้อน ฝ่ายงานไฟแนนซ์ไม่ได้เป็นแค่ฝ่ายสนับสนุนอีกต่อไป แต่คือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้องค์กรใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด สร้างความยั่งยืน และบรรลุเป้าหมายการเติบโตได้อย่างมั่นคง ด้วยเหตุนี้ ผู้นำองค์กรจึงต้องเปิดโอกาสให้ฝ่ายไฟแนนซ์ของตนได้แสดงบทบาทพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ พร้อมนำศักยภาพด้านการวิเคราะห์และคาดการณ์มาสู่การตัดสินใจทุกระดับ เพื่อให้ก้าวทันและสร้างความได้เปรียบในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

//จบ//


เกี่ยวกับ PwC

ที่ PwC เราช่วยลูกค้าสร้างความไว้วางใจและคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนความซับซ้อนให้เป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน เราเป็นเครือข่ายที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและมีบุคลากรมากกว่า 370,000 คนใน 149 ประเทศ เราช่วยสร้าง เร่ง และรักษาโมเมนตัมให้คงอยู่ได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทั้งในด้านการตรวจสอบบัญชี ภาษีและกฎหมาย ดีลส์ และการให้คำปรึกษา คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.pwc.com

เกี่ยวกับ PwC ประเทศไทย

PwC ประเทศไทย ถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2502 โดยมีบทบาทในการช่วยเหลือ และให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจไทยมานานกว่า 65 ปี PwC ผสมผสานประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถในการทำงานกับลูกค้าข้ามชาติ ผนวกกับความเข้าใจตลาดภายในประเทศเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ชื่อเสียงของ PwC เป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยปัจจุบัน มีบุคลากรมากกว่า 1,800 คนในประเทศไทย

PwC refers to the Thailand member firm, and may sometimes refer to the PwC network. Each member firm is a separate legal entity. Please see www.pwc.com/structure for further details.

© 2025 PwC. All rights reserved

Click here to read English version

Contact us

Ploy Ten Kate

Ploy Ten Kate

Director, PwC Thailand

Tel: +66 (0) 2844 1000 Ext. 4713

Follow us