แนวทางการตั้งราคาโอนสำหรับธุรกรรมทางการเงิน ตอนที่ 1

การกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับธุรกรรม Cash pooling

PwC Thailand blog
  • Blog
  • 10 minute read
  • March 25, 2022

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงถาโถมมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กลุ่มบริษัทข้ามชาติต่างมองหากลยุทธ์ทางการเงินที่จะสามารถช่วยลดต้นทุนทางการเงินได้ ซึ่งหนึ่งในทางเลือกคือการบริหารจัดการสภาพคล่องภายในกลุ่มบริษัทกันเองผ่านการจัดหาแหล่งเงินทุนจากบริษัทในเครือ ก่อนที่จะไปทำการจัดหาแหล่งเงินทุนจากภายนอก

ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่พบคดีพิพาทที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดราคาโอนของธุรกรรมทางการเงิน แต่เนื่องจากหลักการสำหรับธุรกรรมทางการเงินได้มีการกำหนดและเปิดเผยไว้ใน OECD Transfer Pricing Guidelines 2022 (คู่มือแนวทางการตั้งราคาโอนของ OECD ปี 2565)  จึงเป็นที่น่าจับตามองว่า กรมสรรพากรไทยก็อาจจะหยิบยกแนวทางเหล่านี้มาปรับใช้ในการพิจารณาและตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินระหว่างกันของผู้เสียภาษีในประเทศไทย

ทีม Financial Services Transfer Pricing (FSTP) ของ PwC ประเทศไทย จึงอยากถือโอกาสนี้ในการนำเสนอประเด็นที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาการตั้งราคาโอนสำหรับธุรกรรมทางการเงินผ่านข้อพิพาทที่น่าสนใจระหว่างผู้เสียภาษีและกรมสรรพากรในกลุ่มประเทศที่เป็นสมาชิก OECD ซึ่งเป็นประเด็นการพิจารณาในส่วนของการกำหนดอัตราดอกเบี้ยระหว่างกันภายใต้ธุรกรรม Cash pooling การกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับการให้กู้ยืมระหว่างบริษัทในเครือ ตลอดจนการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันระหว่างกัน โดยบทความแรกนั้น จะมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์ข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานที่นำมาใช้ในกำหนดอัตราดอกเบี้ยของการกู้ยืมภายใต้ธุรกรรม Cash pooling

Cash pooling คืออะไร

Cash pooling คือ ระบบการจัดการสภาพคล่องทางการเงินของกลุ่มบริษัท โดยกำหนดให้มีบริษัทในกลุ่มทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง (Pool leader) ที่จะคอยบริหารรวบรวมยอดคงเหลือของแต่ละบริษัท เพื่อนำมาบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ที่ “บัญชีกลาง”[1]

โดยระบบ Cash pooling นั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่

1) Physical pooling คือ ระบบการโอนยอดเงินคงเหลือตามจริงของแต่ละบริษัทมายังบัญชีกลาง โดยระบบนี้จะส่งผลให้เกิดการกู้ยืมเงินกันจริงภายในกลุ่มบริษัท[2]

2) Notional pooling คือ ระบบการบริหารจัดการสภาพคล่องทางตัวเลขที่มิได้มีการโอนยอดเงินคงเหลือตามจริง แต่จะเป็นการบริหารจัดการผ่านการรวบรวมและทดยอดเงินสดคงเหลือหรือเงินสดขาดของแต่ละบริษัทที่เข้าร่วม Cash pooling ไว้ที่บัญชีกลาง[3]

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่า notional pooling จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ แต่พบว่าระบบ physical pooling นั้นก็ยังคงเป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย  

การกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับธุรกรรม Cash pooling - แนวทางปฏิบัติในปัจจุบัน

ในปัจจุบันนี้ พบว่า บริษัทไทยส่วนมากนั้นอาจเลือกที่จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับการนำเอากระแสเงินสดส่วนเกิน หรือเงินทุนหมุนเวียนของตนเองไปให้ Pool leader กู้ยืมภายใต้ธุรกรรม Cash pooling โดยอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งหลักการที่อ้างอิงมาจากแนวข้อหารือที่กรมสรรพากรไทยได้เคยให้ไว้สำหรับการให้กู้ยืมเงินของบริษัทในเครือ

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าข้อหารือดังกล่าวนั้นล้วนแต่เป็นข้อหารือที่ออกมาตั้งแต่ก่อนที่ประเทศไทยจะมีการประกาศใช้กฎหมายเฉพาะสำหรับการกำหนดราคาโอนในปี 2562 และข้อหารือเหล่านั้นก็เป็นเพียงการพิจารณาในมุมมองของผู้ให้กู้แต่เพียงอย่างเดียวว่า ผู้ให้กู้นั้นควรจะได้รับค่าตอบแทนดอกเบี้ยในอัตราที่ไม่ต่ำไปกว่าต้นทุนทางการเงินของผู้ให้กู้ โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นความน่าเชื่อถือด้านการเงินของผู้กู้ (Credit rating) หรือ ระยะเวลาการให้กู้ยืม เป็นต้น ทำให้อาจเกิดคำถามว่าการกำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยอ้างอิงกับอัตราเงินฝากธนาคารนั้นจะยังคงเป็นที่ยอมรับและถือว่าเป็นการตั้งราคาโอนที่สอดคล้องกับหลักการอิสระ (Arm’s length principle) หรือไม่

เนื่องจากข้อกำหนดสำหรับการตั้งราคาโอนของประเทศไทยนั้นก็อ้างอิงมาจากหลักการอิสระ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการการตั้งราคาโอนที่กำหนดโดย OECD เราจึงอาจวิเคราะห์ประเด็นปัญหาและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในธุรกรรมเหล่านี้ได้จากข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจริงบนหลักการอิสระในกลุ่มประเทศสมาชิก OECD

คดีพิพาทที่เกี่ยวกับราคาโอนของธุรกรรม Cash pooling ในกลุ่มประเทศสมาชิก OECD

หนึ่งในคดีตัวอย่างของกรณีธุรกรรม Cash pooling ที่เราจะหยิบมาพิจารณา นั่นคือ คดีพิพาทระหว่าง Bombardier Group กับกรมสรรพากรของประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นกรณีที่บริษัทในกลุ่ม Bombardier ได้มีการนำเอากระแสเงินสดส่วนเกินฝากเข้าไปในบัญชีกลางของ Pool leader ที่อยู่นอกประเทศเดนมาร์ก โดยบริษัทผู้ฝากเงินจะได้รับผลตอบแทนที่พิจารณาจากอัตราเงินกู้ยืมข้ามคืนระหว่างธนาคารพาณิชย์ที่ไม่มีความเสี่ยง (‘อัตราพื้นฐาน’) หักร้อยละ 0.5 ในขณะที่ผู้กู้จะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับ Pool leader ในอัตราพื้นฐานบวกร้อยละ 1.15

โดยกลุ่มบริษัท Bombardier มองว่า ข้อตกลงดังกล่าวนั้นสอดคล้องกับหลักการอิสระ เนื่องจากบริษัทที่มีความสัมพันธ์กันทั้งหมดนั้นได้รับผลประโยชน์จากต้นทุนการเงินที่ต่ำลง เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราเงินกู้ที่จะได้รับจากสถาบันการเงิน

อย่างไรก็ดี หน่วยงานด้านภาษีของประเทศเดนมาร์กกลับมีมุมมองที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว โดยมองว่า การฝากเงินกับ Pool leader ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการทางการค้านั้น ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับการฝากเงินกับสถาบันการเงิน เนื่องจาก Pool leader นั้นมีความน่าเชื่อถือทางการเงินน้อยกว่าสถาบันการเงิน จึงถือเป็นกรณีที่บริษัทสัญชาติเดนมาร์ก (ที่มีสถานะเป็นผู้ฝากเงินในธุรกรรม Cash pooling) ให้ Pool leader กู้ยืมเงิน และมีภาระที่จะต้องแบกรับความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการทำธุรกรรมกับสถาบันการเงิน

นอกจากนี้ หน่วยงานด้านภาษีของประเทศเดนมาร์กยังมองว่า Pool leader นั้น ได้รับผลตอบแทนที่มากเกินไป จากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย (ส่วนต่างระหว่างอัตราเงินฝากและอัตราเงินให้กู้ยืม) เมื่อเทียบกับหน้าที่งานที่มีเพียงงานธุรการเท่านั้น ด้วยเหตุนี้หน่วยงานด้านภาษีของประเทศเดนมาร์กจึงมีความเห็นว่า บริษัทสัญชาติเดนมาร์ก ซึ่งเป็นผู้ให้กู้นั้นควรที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อสะท้อนถึงบทบาทและหน้าที่ในส่วนของการให้กู้ยืมและความเสี่ยงด้านเครดิตที่ต้องแบกรับเมื่อเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกรรม Cash pooling

เมื่อข้อพิพาทนี้ได้ไปถึงชั้นศาล ศาลของประเทศเดนมาร์กได้มีความเห็นพ้องกับแนวทางการตัดสินของหน่วยงานด้านภาษี ซึ่งถือเป็นการยืนยันอีกครั้งว่า ผลตอบแทนที่ Pool leader ได้รับนั้นสูงเกินไป ไม่สอดคล้องกับขอบเขตหน้าที่งานธุรการและความเสี่ยงที่มีอยู่อย่างจำกัด และพิจารณาให้มีการปรับปรุงเพิ่มอัตราดอกเบี้ยที่บริษัทสัญชาติเดนมาร์ก (ในฐานะผู้ให้กู้) พึงได้รับเพื่อให้สะท้อนถึงความเสี่ยงด้านเครดิตที่มีมากกว่าความเสี่ยงจากธุรกรรมที่เกิดกับธนาคารพาณิชย์

อีกหนึ่งข้อพิพาทที่ได้มีการนำเอาแนวทางข้างต้นมาปรับใช้ คือ ข้อพิพาทระหว่างกลุ่มบริษัท Vodafone และ หน่วยงานด้านภาษีของประเทศฮังการี ซึ่งในกรณีนี้หน่วยงานด้านภาษีได้ทำการโต้แย้งและชนะในชั้นศาล เนื่องจากหน้าที่งานและความน่าเชื่อถือด้านการเงินของ Pool leader นั้นไม่เหมือนกันกับกรณีการฝากเงินกับสถาบันทางการเงิน จึงไม่สามารถอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคาร เพื่อนำมาตั้งราคาค่าตอบแทนดอกเบี้ยของเงินที่ให้ Pool leader กู้ยืมได้ บริษัทผู้ให้กู้จึงต้องปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยจากอัตราเงินฝากธนาคารเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาว ทั้งนี้ขึ้นกับระยะเวลาของการให้กู้ยืมเงิน

การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านราคาโอนสำหรับธุรกรรม Cash pooling

เมื่อเปรียบเทียบหลักการของกรมสรรพากรประเทศไทยที่ได้เคยให้ไว้ในข้อหารือ กับแนวทางของหน่วยงานภาษีในต่างประเทศ จะพบว่าในการพิจารณาหลักการอิสระในต่างประเทศนั้น จำเป็นต้องพิจารณาถึงปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากการพิจารณาทางเลือกอื่นสำหรับการเข้าทำธุรกรรมของบริษัท (เช่น การนำกระแสเงินสดส่วนเกินไปฝากธนาคาร) ปัจจัยสำคัญดังกล่าว ได้แก่ ความน่าเชื่อถือด้านการเงิน บทบาทและหน้าที่งาน รวมไปจนถึง ความเสี่ยงต่าง ๆ ของผู้ที่เข้าร่วมในการทำธุรกรรม Cash pooling ทั้งหมด

เนื่องจากประเทศไทยเองก็ได้นำเอาหลักการอิสระมาใช้เป็นหลักการของการกำหนดราคาโอนของรายการระหว่างกัน บริษัทในประเทศไทยที่เข้าทำรายการ Cash pooling จึงมีความเสี่ยงที่สูงขึ้น เนื่องจากกรมสรรพากรไทยนั้นสามารถอ้างอิงถึงหลักการอิสระและประเด็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นแล้วในกลุ่มประเทศ OECD มาปรับใช้ในการตรวจสอบและประเมินภาษีสำหรับการเข้าทำรายการธุรกรรมทางการเงินระหว่างกัน

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น บริษัทที่มีการเข้าร่วม Cash pooling ควรที่จะจัดให้มีการทบทวนนโยบายการกำหนดราคาโอนสำหรับธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงพิจารณาปรับปรุงนโยบายตามความเหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการอิสระ พร้อมทั้งจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการชี้แจงและสนับสนุนนโยบายด้านราคา โดยการกู้ยืมเงินกันในธุรกรรม Cash pooling นั้นควรที่จะต้องพิจารณาจากอัตราดอกเบี้ยที่เป็นไปตามอัตราตลาดที่สอดคล้องกับความน่าเชื่อถือทางการเงินของผู้กู้ ลักษณะและรูปแบบของธุรกรรม รวมไปถึง บทบาท หน้าที่งาน และความเสี่ยงของ Pool leader และผู้เข้าร่วมใน Cash pooling แต่ละราย

สำหรับบทความในตอนต่อไปนั้น ทางทีม FSTP ของ PwC ประเทศไทย จะมานำเสนอข้อพิพาทและประเด็นที่น่าสนใจ ในส่วนของการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาวภายในกลุ่มบริษัท และการพิจารณาค่าตอบแทนจากการค้ำประกัน  

โปรดติดตามบทความของเราในตอนต่อไป

แหล่งที่มา:

[1] คู่มือแนวทางการตั้งราคาโอนของ OECD ปี 2565, ย่อหน้าที่ 10.109 – 10.111
[2] คู่มือแนวทางการตั้งราคาโอนของ OECD ปี 2565, ย่อหน้าที่ 10.112
[3] คู่มือแนวทางการตั้งราคาโอนของ OECD ปี 2565, ย่อหน้าที่ 10.113 – 10.114

โดย:

  1. นพจารี วัฒนานุกิจ
    ผู้ช่วยหุ้นส่วนสายงานภาษีอากร บริษัท PwC ประเทศไทย
  2. วศุนธรี จรรยาทิพย์สกุล
    ผู้จัดการอาวุโสสายงานภาษีอากร บริษัท PwC ประเทศไทย
  3. วริศรา มหาไม้
    ผู้จัดการสายงานภาษีอากร บริษัท PwC ประเทศไทย

Click here to read English version

Contact us

Marketing and Communications

Bangkok, PwC Thailand

Tel: +66 (0) 2844 1000, Ext. 4713-15, 18, 22-24, 26, 28 and 29

Follow us